ตั้งอยู่ในมลรัฐเวอร์จิเนียร์ เป็นที่ราบตอนกลางระหว่างอ่าว Chesapeake Bay ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก และมหาสมุทรแอตแลนติกทางด้านทิศตะวันออก นับเป็นตัวอย่างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการสร้างงานและการพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ
ที่มีพื้นฐานอุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมการประมง อุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร บนพื้นที่รวม 50 เอเคอร์ ประชากรประมาณ 1,200 คน และได้แบ่งที่ดินออกเป็น 2 ส่วนประกอบด้วยที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย ย่านธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรม คิดเป็นร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมด ในขณะที่ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 50 ของพื้นที่ทั้งหมดจะถูกกันเป็นพื้นที่รองรับน้ำและการอยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ
พื้นที่ของเขตประกอบการอุตสาหกรรม Cape Charles Sustainable Technologies Park เดิมเป็นศูนย์การค้าขายสัตว์น้ำขนาดใหญ่ และมีโรงงานอาหารทะเลตั้งอยู่หลายแห่ง
ปี ค.ศ. 1980 โรงงานผลิตอาหารต้องปิดกิจการลง 3 แห่ง และอุตสาหกรรมการประมงเริ่มถดถอยเนื่องจากแหล่งประมงเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว และเป็นแรงขับเคลื่อนให้คนในพื้นที่ให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่มากขึ้น
ปี 1992 คณะกรรมการที่ปรึกษาแห่งเมือง Northampton County ได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนินการศึกษาหาความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองและการอนุรักษ์ทรัพยากรชายฝั่งทะเล และเปิดรับอาสาสมัครเพื่อทำการชี้บ่งตัวชี้วัดและเป้าหมายที่เป็นไปได้ในการพัฒนาเศรษฐกิจของเมือง โดยจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นรวม 24 ครั้งในระยะเวลา 18 เดือน และสิ่งที่ค้นพบประการหนึ่งคือ การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ (Low emission) ซึ่งนำไปสู่การสร้างเขตประกอบการอุตสาหกรรมที่มีเป้าหมายการใช้น้ำและทรัพยากรต่างๆ ลดลง ในขณะเดียวกันยินยอมให้บริษัทเอกชนสามารถสร้างประโยชน์ต่างๆ จากเขตประกอบการอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้น รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จของการพัฒนาพื้นที่เชิงนิเวศที่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ และมีการจัดทำเป็นโครงการพัฒนาขึ้น ซึ่งต่อมาได้รับเงินจากการออกพันธบัตรเงินกู้จำนวน 4.6 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อดำเนินการสร้างเขตประกอบการอุตสาหกรรมเชิงนิเวศแห่งใหม่ขึ้น และเริ่มดำเนินการในปี ค.ศ. 2000
ปีค.ศ. 2000 รัฐบาลจัดตั้ง Cape Charles Sustainable Technologies Industrial Park (STIP) ขึ้นซึ่งเป็นเขตประกอบการอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนแห่งแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย
พื้นที่อาคารสำนักงานและโรงงานอุตสาหกรรมขนาด 31,000 ตารางฟุตใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ การใช้หลอดไฟฟ้าแบบประหยัดไฟ
ก๊อกน้ำแบบประหยัดน้ำ
ระบบการนำน้ำเสียมาใช้ใหม่
การกันพื้นที่อนุรักษ์ป่าไม้และพืชธรรมชาติสำหรับสัตว์ต่างๆ
ทำให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า 8 ล้านดอลล่าร์สหรัฐและมีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น 65 ตำแหน่งในช่วงปีแรกของการพัฒนาพื้นที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในขณะเดียวกันได้มีการจัดทำคู่มือการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนขึ้นในเขตประกอบการอุตสาหกรรมขึ้นสำหรับแจกจ่ายให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่
การดำเนินการในระยะต่อไป จะมีการประชาสัมพันธ์ และชักชวนผู้ประกอบการในพื้นที่ใกล้เคียงเข้าร่วมโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมและดำเนินธุรกิจเชิงนิเวศ สำหรับพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในเขตประกอบการอุตสาหกรรม ทั้งนี้ผู้บริหารโครงการเห็นว่ากระบวนการสร้างความสัมพันธ์ ความรู้ความเข้าใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากผลกระทบสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในพื้นที่จะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน